Toyota Motor จากผู้ผลิตอุตสาหกรรมทอผ้าสู่การเป็นผู้ผลิตรถยนต์ที่มีมูลค่ามากที่สุดของโลก
ถ้าถามถึงค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ภายในประเทศไทย Toyota จะต้องเป็นหนึ่งในคำตอบติดปากของใครหลายๆ คนอย่างแน่นอน แม้แต่คนรุ่นใหม่ก็เติบโตมากับการใช้รถยนต์ของ Toyota จึงไม่น่าแปลกใจที่ค่ายยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่นค่ายนี้จะมียอดขายสูงสุดและมีมูลค่าทางการตลาดที่สูงระดับโลกอยู่เสมอ เพราะไม่ใช่เพียงแค่ประเทศไทยเท่านั้นที่คุ้นชินกับชื่อของ Toyota แต่อีกหลากหลายประเทศทั่วยุโรปก็คุ้นเคยกับรถยนต์ของค่ายนี้ด้วยเช่นกัน แต่ใครจะเชื่อว่าบริษัทที่เป็นผู้นำด้านรถยนต์ที่มีระดับอย่าง Toyota ในยุคแรกกลับทำธุรกิจที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับรถยนต์เลยแม้แต่น้อย กลับเป็นธุรกิจที่ทำเกี่ยวกับอุตสาหกรรมทอผ้า เน้นเรื่องการผลิตกี่ทอผ้าและเครื่องทอผ้าอัตโนมัติ เจ้าของตัวจริงผู้ให้กำเนิดเป็นเพียงลูกชายจากครอบครัวช่างไม้ที่ฐานะทางบ้านค่อนข้างยากจน ชื่อของเขา คือ นาย Sakichi Toyoda เกิดเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 1867 แต่ด้วยความที่เป็นคนรักการประดิษฐ์ มีพรสวรรค์และมีความเฉลียวฉลาด จึงทำให้เขาสามารถผลิตอุปกรณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมทอผ้าออกมาได้ หนึ่งในผลงานที่ทำให้เขามีชื่อเสียงคือการผลิตกี่ทอผ้า ต่อมาในปี 1918 ก็ได้ผลิตเครื่องทอผ้าแบบอัตโนมัติที่ถือว่าเป็นสุดยอดผลงานที่เขาเคยทำมา จนทำให้เขาก่อตั้งบริษัท Toyota Boshoku ที่เน้นผลิตและขายเครื่องทอผ้าโดยเฉพาะขึ้นมาได้สำเร็จ
ความพิเศษของเครื่องทอผ้าอัตโนมัติที่ Sakichi Toyoda ทำขึ้นมาแล้วไม่เหมือนใคร คือ เครื่องจะหยุดการทำงานทันทีเมื่อเกิดความผิดพลาดขึ้น เมื่อนำออกขายจริงก็ได้รับความสนใจจากบริษัทใหญ่และมีบริษัทจากประเทศอังกฤษเข้ามาขอซื้อนวัตกรรมนี้ไปใช้งาน จนในท้ายที่สุดระบบของเครื่องทอผ้าอัตโนมัติก็ได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของรถยนต์ Toyota และถือว่าเป็นการเริ่มต้นตำนานของการสร้างอุตสาหกรรมในเครือ Toyota ตั้งแต่นั้นมา หลังจากการขายสิทธิบัตรเครื่องทอผ้าให้กับบริษัทในอังกฤษของผู้เป็นพ่อ ทำให้ลูกชายอย่าง Kiichiro Toyoda ออกเดินทางไปท่องเที่ยวยุโรปเพื่อสร้างแรงบันดาลใจและเก็บเกี่ยวความรู้เรื่องเครื่องยนต์กลับมา เมื่อกลับมาสู่ญี่ปุ่น Kiichiro Toyoda จึงมุ่งเน้นค้นคว้าและผลิตเครื่องยนต์ที่สามารถใช้งานได้จริงด้วยน้ำมันอย่างเต็มที่ แผนกรถยนต์จึงเกิดขึ้นมาในปี 1933 ด้วยชื่อ Toyoda Automatic Loom Works, Ltd. แต่ด้วยความที่ผู้เป็นพ่อและผู้ก่อตั้งบริษัทอย่าง Sakichi Toyoda เสียชีวิตลง จึงทำให้ทุกอย่างชะงักลงจากความไม่มั่นใจของผู้คนรอบข้าง ทำให้ผู้ที่เป็นลูกต้องฝ่าฝันอุปสรรคอย่างหนัก แต่เขาก็สามารถทำฝันสำเร็จด้วยการผลิตรถยนต์คันแรกของบริษัทออกมาในรุ่น A1 และ G1 แต่ก็เป็นเพียงรถยนต์ต้นแบบที่ไม่สามารถนำออกขายจริงได้ จนกระทั่งในปี 1935 ก็ได้ฤกษ์นำทั้ง 2 รุ่นออกขายได้สำเร็จ สำหรับในรุ่น A1 นั้นทำยอดขายได้ไม่ดีเท่าที่ควรเพราะติดปัญหาเรื่องเศรษฐกิจที่แย่ลงของคนญี่ปุ่นในยุคนั้น แต่ในทางกลับกันยอดขายของทาง G1 ที่เป็นรถกระบะกลับได้รับความนิยมสูงมาก จนทำให้ยอดขายของทางบริษัทดีขึ้นเรื่อยๆ และในช่วงนั้นชื่อของค่ายรถยังคงใช้ชื่อ TOYODA อยู่ตลอด
เมื่อธุรกิจด้านรถยนต์เริ่มเติบโตและมีเงินทุนมากพอจะพัฒนาไปสู่รถยนต์รุ่นต่อไป ทางผู้บริหาร TOYODA ก็ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น TOYOTA เพราะเชื่อว่าชื่อเก่าเมื่อเขียนเป็นภาษาญี่ปุ่นแล้วคำแปลออกมาไม่ดี จึงกลัวว่าจะส่งผลเสียต่อบริษัท ทำให้ได้ชื่อใหม่ที่มีความหมายดีกว่าเดิมอย่าง TOYOTA และเมื่อเขียนด้วยพู่กันของญี่ปุ่นแล้วจะได้ขีดมา 8 เส้น ที่มีความหมายถึง Infinity หรือความสำเร็จและการเติบโตอย่างไม่มีที่สิ้นสุด จากนั้นก็เปิดตัวโลโก้ใหม่และเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ที่มาพร้อมชื่อใหม่อีก 3 รุ่น คือ Toyota AA, Toyota AB และ Toyota GA โดยใน 2 รุ่นแรกถูกผลิตออกมาให้เป็นรถยนต์นั่งส่วนบุคคลที่ต่อยอดมาจากรุ่น A1 เน้นทำการตลาดในเรื่องราคาที่ถูกกว่ารถยนต์ของค่ายอื่น ส่วนทางด้าน Toyota GA คือรถกระบะที่มีการต่อยอดมาจากรุ่น G1 ที่ได้รับความนิยม ซึ่งในรุ่นนี้โด่งดังมากจนได้รับการติดต่อให้ส่งออกไปขายต่างประเทศ เมื่อทุกอย่างที่ทำมาประสบความสำเร็จไปได้ด้วยดี ผู้ที่เป็นลูกและเป็นผู้ก่อตั้งแผนกรถยนต์พร้อมสู้กับปัญหามาสารพัดอย่าง Kiichiro Toyoda จึงทำการก่อตั้งบริษัทใหม่ Toyota Motor Co., Ltd. อย่างเป็นทางการในช่วงปี 1937 และใช้เวลา 1 ปี ในการสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ที่มีความสมบูรณ์แบบมากขึ้น โดยใช้ชื่อว่า Koromo Plant ที่ในปัจจุบันถูกเปลี่ยนให้กลายเป็น Honsha Plant
ปัจจุบันบริษัท Toyota Motor Co., Ltd. มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ เมืองโทโยตะ ในเขตไอจิของประเทศญี่ปุ่น มีพนักงานอยู่ทั่วโลกมากถึง 338,875 คน มีอายุของการก่อตั้งบริษัทมายาวนานกว่า 81 ปี ในปี 2557 ได้รับการจัดอันดับให้ติด 1 ใน 12 บริษัทที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกจากการวัดตามรายได้จริง ความยิ่งใหญ่นี้เป็นที่กล่าวขานเพราะสามารถทำยอดขายแซงค่ายรถชื่อดังจากยุโรปอย่างโฟล์กสวาเกน กรุ๊ป และเจเนรัลมอเตอร์ไปได้อย่างเหลือเชื่อ ทำสถิติโลกด้วยยอดการผลิตรถยนต์ที่มากกว่า 10 ล้านคันต่อปี พร้อมการจดทะเบียนเข้าสู่ตลาดทุนของญี่ปุ่นด้วยการเป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดและมีรายได้สูงสุดของญี่ปุ่น ทำให้นำห่างอันดับ 2 ที่เป็นธนาคารของประเทศญี่ปุ่นมากถึง 3 เท่า สำหรับการเข้าสู่ประเทศไทยนั้นทาง TOYOTA ได้ก่อตั้งบริษัท Toyota Motor Thailand Co., Ltd. ในปี 1962 ซึ่งเป็นปีที่ทางค่ายผลิตรถยนต์เป็นคันที่ 1 ล้านพอดีอีกด้วย และสามารถสร้างยอดขายจาก 10 ล้านคัน เป็น 50 ล้านคันทั่วโลกในระยะเวลาที่รวดเร็วมากเลยทีเดียว
3 โมเดลเด็ด ที่ต้องยกให้เป็นสุดยอดของ Toyota ที่ได้รับความนิยมจากผู้คนทั่วโลกและครองแชมป์ยอดขายดีเยี่ยมมาโดยตลอด
ในช่วงปี 1947 ทาง Toyota ได้ทยอยส่งรถยนต์รุ่นต่างๆ ออกมาขายอย่างต่อเนื่อง แต่จะเน้นผลิตเป็นรถที่มีขนาดเล็กกะทัดรัดทั้งแบบรถยนต์ส่วนบุคคลและรถกระบะ แต่เมื่อเวลาผ่านไปทางค่ายก็มีการพัฒนารูปแบบของรถอย่างไม่หยุดยั้ง จนสามารถผลิตรถยนต์และรถกระบะรุ่นใหม่ๆ ออกมาตอบโจทย์คนที่ชื่นชอบรถในแบบ Toyota ได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งในรุ่นที่ได้รับความนิยมสูงสุดของทาง Toyota และช่วยเสริมให้ทางค่ายมียอดขายที่สูงขึ้น คือ
1.Toyota Hilux เป็นตระกูลของรถกระบะที่ได้รับความนิยมมาอย่างยาวนาน โดยชื่อนั้นย่อมาจากคำว่า Highly และ Luxurious ที่เมื่อนำมารวมกันแล้วได้คำว่า Hilux ความหมาย คือ การเป็นรถกระบะที่มีความหรูหราและใช้งานได้ดี ความนิยมของตระกูล Hilux นั้นสามารถดูได้จากการผลิตและพัฒนาต่อยอดเพื่อออกขายมากถึง 8 เจนเนอร์เรชั่น และใช้ระยะเวลาในการครองแชมป์ความนิยมมายาวนานถึง 50 ปี โดยแบ่งออกเป็น
- รุ่นแรก Toyota Hilux N10 เป็นรถกระบะขนาดเล็กกะทัดรัดที่วางขายมาตั้งแต่ปี 1968-1972 เป็นกระบะตอนเดียวที่มี 2 ประตู มากับเครื่องยนต์เบนซินที่มีขนาด 1.5 ลิตร 77 แรงม้า เกียร์ธรรมดา 4 สปีด
- รุ่นที่ 2 Toyota Hilux N20 ถูกปรับโฉมใหม่ให้กระบะมีความสั้นและยาวที่สมดุลมากกว่าเดิม ทรงรถเริ่มใหญ่ขึ้น ใช้เครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.6 ลิตร 83 แรงม้า รหัส 12R และมีการเพิ่มเครื่องยนต์ให้เป็น 2.0 ลิตร 121 แรงม้า ในรหัส 18R และทำงานกับเกียร์ธรรมดา 4 สปีด รุ่นนี้ถือกำเนิดขึ้นในปี 1972-1978
- รุ่นที่ 3 Toyota Hilux N30 และ N40 ที่มาสืบทอดต่อในปี 1978-1983 ที่เริ่มปรับเปลี่ยนหน้าตาให้มีความโค้งมนมากกว่าเดิม พร้อมการเปลี่ยนเป็นระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่มากับเครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร แต่ก็มีการยกเลิกผลิตในปี 1983 แล้วกลับมาผลิตเพียงแค่รุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ จากนั้นก็เพิ่มเครื่องยนต์แบบดีเซลเข้ามาและเป็นขับเคลื่อน 4 ล้อ ในปี 1983 การปรับเปลี่ยนนี้เองจึงทำให้ทางค่ายมีการใช้ตัวถังทั้งในรหัส N30 และ N40 ที่สำคัญคือการปรับมาสู่การเป็นกระบะแบบ 4 ประตูอีกด้วย
- รุ่นที่ 4 Toyota Hilux N50, N60 และ N70 ในช่วงปี 1983-1988 ปรับเปลี่ยนโฉมรถให้ขับขี่สะดวกและนั่งสบายด้วยการใช้ Xtracab มาเป็นตัวช่วย มาพร้อมเครื่องยนต์แบบ 22R เบนซินขนาด 2.4 ลิตร 97 แรงม้า จากนั้นก็เพิ่มเครื่องยนต์มาเป็นหัวฉีดรุ่น 22R-E ขนาด 2.4 ลิตร 105 แรงม้า และในปี 1984 ก็กลายมาเป็นเครื่องยนต์ 2L ขนาด 2.5 ลิตร 83 แรงม้า กับ 2L-T ขนาด 2.5 ลิตร แบบเทอร์โบ 93 แรงม้า โดยโฉมใหม่นี้มีความแกร่งมากจนถูกเรียกว่า Toyota Hilux Hero
- รุ่นที่ 5 Toyota Hilux N80, N90, N100 และ N110 มาต่อในช่วงปี 1988-1997 ที่มีห้องโดยสารแบบ Xtracab และตัวถังที่ใหญ่กว่าเดิม โครงสร้างรถดูทันสมัยและแข็งแกร่งมากขึ้น สำหรับในประเทศไทยแล้วที่ดังมากๆ คือ Toyota Hilux Mighty-X ที่สามารถสร้างยอดขายที่ดีเยี่ยม มาพร้อมกับเครื่องยนต์ 2L II แบบดีเซลขนาด 2.5 ลิตร และหลังจากนั้นไม่นานนักก็เพิ่มมาเป็นเครื่องดีเซลขนาด 2.8 ลิตร ตามมา
- รุ่นที่ 6 Toyota Hilux Tiger มาในช่วงปี 1997-2005 ที่ถึงจะมีคู่แข่งมาบ้างแล้ว แต่ก็ยังคงเป็นรถกระบะที่มียอดขายสูงเช่นเคย มาพร้อมเครื่องยนต์ 5L แบบดีเซลขนาด 3.0 ลิตร , เครื่องยนต์ 5L-E ขนาด 3.0 ลิตร และเครื่องยนต์ 1KZ ดีเซลขนาด 3.0 ลิตร หลังจากนี้ไม่นานนักการใช้งานระบบ Direct Injection และ Turbo-Common rail ก็เริ่มเข้ามา
- รุ่นที่ 7 Toyota Hilux Vigo มาในช่วงปี 2004-2005 ถูกปรับเปลี่ยนโฉมใหม่หมดจดเพื่อให้ดูทันสมัยและเป็นกระบะที่นำเทรนมากที่สุด ที่สำคัญคือการเป็นกระบะที่ได้รับความนิยมสูงสุดมาอย่างยาวนานกว่า 11 ปี การผลิตก็เป็นโรงงานภายในประเทศไทยเป็นผู้ผลิตอีกด้วย ความเด่นคือการเป็นกระบะ 4 ประตูที่รูปทรงสวย แต่ก็มีแบบ 2 ประตูมาให้เป็นทางเลือกในการใช้งาน มีทั้งแบบขับเคลื่อน 2 ล้อ และ 4 ล้อ เครื่องยนต์มี 2 แบบ คือ เครื่องยนต์ดีเซลขนาด 3.0 ลิตร และเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.5 ลิตร และเริ่มต้นการใช้งานเครื่องยนต์แบบ VVT-i เบนซินขนาด 2.7 ลิตร อีกด้วย
- รุ่นที่ 8 Toyota Hilux Revo มาในช่วงปี 2015 จนถึงปัจจุบัน เป็นรุ่นใหม่ล่าสุดที่ผ่านการพัฒนามาทุกด้าน ปรับโฉมให้ถูกใจคนรุ่นใหม่มากขึ้น มีรูปทรงที่ปราดเปรียวและคล่องตัว มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซล 2.8 ลิตร, ดีเซล 2.4 ลิตร และเครื่องยนต์เบนซิน 2.7 ลิตร
2.Toyota Yaris ถือว่าเป็นรถยนต์ขนาดเล็กที่เข้ามาตีตลาดในประเทศไทยแล้วประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ด้วยรูปทรงหน้าและท้ายสั้นทำให้การขับขี่มีความคล่องตัวสูง ไม่ว่าจะจอดตรงไหนก็สะดวก ทำให้ Toyota Yaris กลายเป็นอีกหนึ่งรุ่นในตำนานของทาง Toyota ที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้ โดยในรุ่นแรกที่ผลิตออกมาคนไทยอาจจะไม่เคยเห็นมาก่อน เพราะเป็นรุ่นที่ไม่มีเข้ามาขายในประเทศไทย ดังนั้นคนไทยจึงรู้จัก Toyota Yaris แบบจริงจังคือในเจเนอร์เรชั่นที่ 2 ที่เข้ามาขายในช่วงปี 2548-2556 โฉมโดนปรับจากรุ่นแรกแบบใหม่หมดจด ทำให้ได้รูปลักษณ์ที่ดูทันสมัย ซึ่งรุ่นนี้ในปัจจุบันก็ยังเป็นที่นิยมในตลาดรถมือ 2 เป็นอย่างมาก เครื่องยนต์ของรุ่นนี้เป็นเครื่อง 4 สูบ ขนาด 1.5 ลิตร 109 แรงม้า มีเกียร์ให้เลือก 2 แบบ คือ เกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด พร้อมให้อัตราการประหยัดน้ำมัน 12.3 กิโลเมตรต่อลิตร Toyota Yaris ในโฉมที่ 2 นี้ ยังมีแตกออกเป็นอีก 3 ยุค คือ
- ยุคช่วงปี 2548-2552 ดีไซน์โคมไฟใหญ่และกระจังหน้าใหญ่ มีตราโลโก้ Toyota อยู่ที่ด้านหน้าสุด แบ่งออกเป็น 4 รุ่นย่อย คือ รุ่น J ที่เป็นตัวต่ำสุดมีให้เลือกทั้งแบบเกียร์ธรรมดาและเกียร์อัตโนมัติ , รุ่น E เป็นรุ่นขนาดกลางที่มีอุปกรณ์มาตรฐานให้มาครบครันและมีระบบความปลอดภัยเพิ่มเข้ามา นอกจากนี้ยังมีรุ่น E Automatic Limited ที่ได้สเกิร์ตรอบคัน, สปอยเลอร์ พร้อมด้วยพวงมาลัยและเกียร์ที่มีหนังหุ้มติดมาด้วย, รุ่น G เป็นตัวท็อปที่มีอุปกรณ์มาตรฐานและของตกแต่งที่มาแบบครบครัน และรุ่นสุดท้าย คือ รุ่น S ที่เป็นตัวท็อปสุดสไตล์สปอร์ตที่มีครบครันทุกอย่าง เบาะด้านในจะเป็นเบาะหนังคุณภาพและมีระบบที่ทันสมัยในแบบที่รุ่นอื่นไม่มีอีกด้วย
- ยุคช่วงปี 2552-2555 เปลี่ยนกระจังหน้าให้เล็กขึ้น ไฟจากโคมสีขาวก็เปลี่ยนมาเป็นสีส้ม มาพร้อมอุปกรณ์ต่างๆ ที่มีทั้งแบบมาตรฐานและอุปกรณ์เสริม พร้อมพัฒนามาเป็นรุ่นย่อยอย่าง TRD II และ ACE ที่ต่อยอดมาจากรุ่น E และ J ในช่วงปีแรก
- ยุคช่วงปี 2555-2556 ถือว่าเป็นรุ่นย่อยสุดท้ายที่ตัดรุ่นออโตเมติกธรรมดาออก แล้วใส่เป็น S Automatic Limited ที่ถูกเปลี่ยนมาเป็น RS เข้ามาแทน และเพิ่มเทคโนโลยีที่ทันสมัยมากขึ้นเข้าไป Toyota Yaris เจเนอร์เรชั่น 3 มาในปี 2553 จนถึงปัจจุบัน มีการปรับเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งหมด เพื่อทำให้มีความสปอร์ตมากยิ่งขึ้น แม้แต่คอนคอนโซลหน้าก็ปรับเปลี่ยนเป็นรูปแบบใหม่ เพื่อให้เห็นถึงการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงตัวตนไปสู่ยุคใหม่ที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น แต่ Toyota Yaris ที่ประเทศไทยขายอยู่ในปัจจุบันเป็นโฉมเอเชียที่ดูแล้วสวยปราดเปรียวมากขึ้น มาพร้อมรูปลักษณ์ใหม่ที่สามารถเลือกแบบ 4 ประตู และ 5 ประตูได้ตามที่ต้องการ โดยมีเครื่องยนต์ 2 ขนาด คือ 1.3 ลิตร และ 1.5 ลิตร พร้อมด้วยระบบความปลอดภัยที่ดีเยี่ยมกว่าเดิม มีการผสานเทคโนโลยีรูปแบบใหม่ลงไปในตัวรถมากขึ้นอีกด้วย
3.Toyota Corolla Altis ถ้าพูดถึงรุ่นในตำนานของ Toyota ที่ไม่ใช่รถกระบะก็ต้องคิดถึงตระกูล Corolla รถยนต์ส่วนบุคคลของทางค่ายที่ได้รับความนิยมมาอย่างยาวนานมาก โดยเริ่มผลิตรุ่นแรกในปี 2509 เริ่มต้นจากการเป็นรถยนต์ขนาดเล็กกะทัดรัดในปี 259-2534 แล้วเปลี่ยนมาสู่รถยนต์ที่มีความเรียบหรูและขนาดที่กำลังพอดีในปี 2534 มาจนถึงปัจจุบัน แต่ก่อนจะมาเป็น Toyota Corolla เคยเป็นรุ่นพับลิกามาก่อน โดยรุ่นที่ได้รับความนิยมสูงสุดก่อนจะมาเป็น Toyota Corolla Altis คือ
- Toyota Corolla รุ่นที่ 6 ที่ได้ชื่อเรียกจากประเทศไทยว่าโฉมโดเรมอน เพราะมีหน้าตาที่คล้ายคลึงกับการ์ตูนดัง ที่สำคัญคือเรื่องของสมรรถนะเครื่องยนต์ที่คนแต่งรถบอกว่าดีเยี่ยม เนื่องมาจากการนำเข้าเทคโนโลยีเครื่องยนต์แบบ 16 วาล์ว เข้ามาใช้งานร่วมด้วย
- จากนั้นก็มีการปรับเปลี่ยนทั้งโฉมและเครื่องยนต์มาตลอด จนกระทั่งมาถึงรุ่นที่ 9 Toyota Corolla Altis ในโฉม LIMO มาพร้อมฟังก์ชั่นต่างๆ ที่ทันสมัยและครบครันมากกว่าเดิม รุ่นนี้จึงเริ่มได้รับความนิยมจากคนรุ่นใหม่มากยิ่งขึ้น
- เมื่อมาถึงโฉมที่ 10 ในปี 2551-2556 หน้าตาของรถก็ดูโฉบเฉี่ยวและทันสมัยมากขึ้น เครื่องยนต์มีหลายขนาดให้เลือกและผสานการทำงานของเกียร์ธรรมดา 5 และ 6 สปีด ส่วนเกียร์อัตโนมัติก็เป็นแบบ CVT 7 สปีดที่มีความทันสมัยอย่างมาก
- จนกระทั่งมาถึงในรุ่นปรับโฉมช่วงปี 2559 จนถึงปัจจุบัน หน้าตาของ Toyota Corolla Altis ก็เปลี่ยนมาสู่หน้าตาที่โฉบเฉี่ยวและทันสมัยมากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว ระบบการทรงตัวกลายมาเป็น VSC และการป้องกันล้อหมุนแบบ TRC เครื่องยนต์มีขนาด 1.6 ลิตร ถุงลมนิรภัย 7 จุด และรองรับการใช้น้ำมัน E85 นอกจากนี้ยังมีรุ่นใหญ่ขนาด 1.8 ลิตร ที่มาพร้อมเกียร์แบบ Super CVT และอุปกรณ์ต่างๆ ที่ครบครัน ทำให้การขับขี่สนุกมากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว
ดีลเลอร์ของ Toyota มีคุณภาพและพร้อมให้บริการจำนวนมาก เพื่อให้ผู้ที่มาซื้อได้รับรถยนต์ที่ดีที่สุดกลับไปใช้งาน
ดีลเลอร์ภายในประเทศไทยของ Toyota ในปัจจุบันมีทั้งหมด 475 แห่ง ทั่วประเทศ โดยดีลเลอร์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในกรุงเทพจะมี 4 เจ้าใหญ่ คือ Toyota กรุงเทพยนต์, Toyota ธนบุรี, Toyota กรุงไทย และ Toyota TBN ส่วนในต่างจังหวัดจะมี Toyota ดีเยี่ยมที่จังหวัดอุบลราชธานีที่ถูกสร้างบนพื้นที่มากถึง 22 ไร่ เงินลงทุนในการสร้างมากถึง 800 ล้านบาท จนกลายมาเป็นดีลเลอร์ Toyota ที่ใหญ่ที่สุดในระดับเอเชีย ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังมองหารถยนต์สักคันไว้ใช้งาน Toyota ถือว่าเป็นหนึ่งในค่ายรถยนต์ที่คุณไม่ควรพลาด เพราะนอกจากจะมีประสบการณ์ด้านผลิตรถยนต์ที่ยาวนานแล้ว ยังเป็นอีกหนึ่งค่ายรถยนต์ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง มีการพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ สามารถออกแบบรูปลักษณ์ของรถในค่ายออกมาได้อย่างโดดเด่น ที่สำคัญคือเครื่องยนต์ที่ต้องบอกว่าดีเยี่ยมขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย